
การผลักดันกฎหมายคาสิโนในไทย – โอกาสหรือความเสี่ยง?
ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือ “Entertainment Complex” ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาในวาระที่ 1 และกำลังอยู่ในขั้นตอนเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 1 มีนาคม ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมบันเทิงและการท่องเที่ยวของไทย อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขในการเปิดให้คนไทยสามารถเข้าเล่นคาสิโนได้ โดยต้องมีเงินฝากในบัญชีไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท เป็นประเด็นที่ก่อให้เกิดคำถามด้านความเท่าเทียมและความเสี่ยงต่อการฟอกเงิน
เงื่อนไขคาสิโนไทย – คัดกรองหรือกีดกัน?
ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้กำหนดให้พื้นที่ของคาสิโนต้องไม่เกิน 10% ของที่ดินที่ใช้ดำเนินธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร และมีมาตรการจำกัดการเข้าใช้บริการของคนไทย โดยกำหนดเงื่อนไขสำคัญ ได้แก่:
- คนไทยที่ต้องการเข้าเล่นคาสิโนต้องชำระค่าธรรมเนียม 5,000 บาทต่อครั้ง
- ต้องมีเงินฝากประจำในบัญชีธนาคารไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาทต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 6 เดือน
มาตรการนี้ถูกมองว่าเป็นการควบคุมกลุ่มผู้เล่นคาสิโนให้อยู่ในขอบเขตของนักลงทุนและนักธุรกิจรายใหญ่เท่านั้น แต่ขณะเดียวกัน ก็อาจเป็นการเปิดช่องให้เกิดการฟอกเงินโดยไม่มีมาตรการป้องกันที่เพียงพอ

มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ: การฟอกเงินเป็นความเสี่ยงใหญ่
นนท์ ไพศาลลิ้มเจริญกิจ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการขาดมาตรการป้องกันการฟอกเงินที่ชัดเจน แม้จะมีการกำหนดให้เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการนโยบาย แต่ก็ยังไม่มีการกำหนดกลไกในการตรวจสอบแหล่งที่มาของเงินของผู้เล่นอย่างชัดเจน
“คนจนไม่มีเงินมาฟอกเงิน แต่กลุ่มที่มีเงิน 50 ล้านบาทขึ้นไปล่ะ? หากอยู่ดี ๆ มีเงินไหลเข้า 500 ล้าน คำถามคือ เงินนั้นมาจากไหน? นี่คือสิ่งที่กฎหมายต้องมีมาตรการตรวจสอบให้ชัดเจน” นนท์กล่าว
กรณีศึกษาของสิงคโปร์ก็แสดงให้เห็นว่า แม้จะมีกฎระเบียบที่เข้มงวด แต่ก็ยังมีการฟอกเงินเกิดขึ้นกว่า 80,000 ล้านบาท การที่ไทยยังไม่มีโครงสร้างการกำกับดูแลที่รัดกุมอาจเปิดโอกาสให้เกิดปัญหาลักษณะเดียวกัน
การคาดการณ์ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
รัฐบาลคาดการณ์ว่าโครงการ Entertainment Complex จะสามารถดึงดูดการลงทุนกว่า 100,000 ล้านบาท และเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติขึ้น 5-10% ต่อปี ซึ่งจะสร้างรายได้ให้ประเทศมากกว่า 12,000 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม มีเสียงคัดค้านจากประชาชนจำนวนมาก โดยผลสำรวจจากนิด้าโพลในเดือนมกราคมที่ผ่านมา พบว่า 59% ของผู้ตอบแบบสอบถามไม่เห็นด้วยกับการมีคาสิโนในประเทศไทย
พรรคการเมืองบางพรรคมองว่า การเปิดคาสิโนจะส่งผลเสียต่อสังคมมากกว่าผลดี พล.ต.ท. ปิยะ ต๊ะวิชัย อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ซึ่งปัจจุบันเป็นโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ให้ความเห็นว่า “บ่อนคาสิโนในไทยจะเป็นมะเร็งร้ายทำลายสังคม”
ในขณะที่ภาคเอกชนบางส่วนสนับสนุนแนวคิดนี้ โดยพสุ ลิปตพัลลภ กรรมการของ Proud Group ได้แสดงความสนใจในการร่วมมือกับบริษัทเกมระดับนานาชาติ เนื่องจากมองว่าการพัฒนา Entertainment Complex เป็นโอกาสในการดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีมูลค่าสูง

ไทยจะเดินหน้าหรือชะลอ?
ประเด็นสำคัญของ Entertainment Complex ไม่ได้อยู่ที่เพียงแค่การเปิดคาสิโน แต่คือการกำหนดแนวทางให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน รศ. ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ มองว่า รัฐบาลควรมุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านอื่น ๆ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยี การศึกษา และการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน มากกว่าการพึ่งพาอุตสาหกรรมการพนัน
“Entertainment Complex, Soft Power และแลนด์บริดจ์ ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน สิ่งที่สำคัญกว่าคือการปรับโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาศักยภาพของประเทศ” รศ. ดร.อัทธ์ กล่าว
บทสรุป: ได้ไม่คุ้มเสีย?
แม้ว่า Entertainment Complex จะเป็นโครงการที่อาจสร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ แต่หากไม่มีมาตรการกำกับดูแลที่เข้มงวด อาจกลายเป็นแหล่งฟอกเงินและเพิ่มปัญหาสังคมมากกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ว่า ประเทศไทยพร้อมหรือไม่ที่จะรับมือกับความท้าทายนี้ หรือจะต้องเผชิญกับผลกระทบที่อาจได้ไม่คุ้มเสีย?