
1. ไข้หวัดใหญ่คืออะไร? ทำไมเราต้องให้ความสำคัญกับโรคนี้?
ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus) ซึ่งสามารถแพร่ระบาดได้ง่ายผ่านการไอ จาม หรือสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อ แม้ว่าอาการของโรคอาจดูคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา แต่ไข้หวัดใหญ่สามารถก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ หัวใจล้มเหลว และถึงขั้นเสียชีวิต โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงสูง
อาการของไข้หวัดใหญ่
🔹 มีไข้สูงอย่างฉับพลัน (38-40°C)
🔹 ปวดศีรษะและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
🔹 ไอแห้ง ๆ เจ็บคอ คัดจมูก
🔹 อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
🔹 ในเด็กอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสียร่วมด้วย
แม้ว่าอาการไข้หวัดใหญ่มักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ในคนทั่วไป แต่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีโรคเรื้อรัง ไข้หวัดใหญ่อาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

2. ไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการกลายพันธุ์ตลอดเวลา! ทำไมวัคซีนต้องเปลี่ยนทุกปี?
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ต้องฉีดใหม่ทุกปีคือ “การกลายพันธุ์ของไวรัส” ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ได้แก่:
Antigenic Drift: การกลายพันธุ์แบบค่อยเป็นค่อยไป
- เป็นการเปลี่ยนแปลงของโปรตีนบนผิวไวรัสอย่างช้า ๆ
- ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันที่เคยสร้างขึ้นจากวัคซีนปีที่แล้วอาจไม่สามารถป้องกันไวรัสที่เปลี่ยนแปลงไปได้ 100%
- เป็นสาเหตุที่ทำให้ไข้หวัดใหญ่ระบาดเป็นประจำทุกปี
Antigenic Shift: การกลายพันธุ์แบบฉับพลัน
- เกิดจากการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรมระหว่างไวรัสไข้หวัดใหญ่จากสัตว์และมนุษย์
- อาจทำให้เกิดสายพันธุ์ใหม่ที่ระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ไม่เคยเจอมาก่อน
- ตัวอย่างเช่น การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ H1N1 (2009) หรือ “ไข้หวัดหมู” ที่แพร่กระจายไปทั่วโลก
เนื่องจากไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา องค์การอนามัยโลก (WHO) จึงต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงของไวรัสจากทั่วโลกเพื่อนำมาพัฒนา “วัคซีนไข้หวัดใหญ่ใหม่ในแต่ละปี” ให้สามารถป้องกันสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดมากที่สุดได้

3. จำนวนสายพันธุ์ไข้หวัดใหญ่ที่ต้องเฝ้าระวัง
ไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่แพร่ระบาดในมนุษย์แบ่งออกเป็น 4 สายพันธุ์หลัก ได้แก่
✔ Influenza A (H1N1) – สายพันธุ์ที่เคยทำให้เกิดการระบาดใหญ่ในอดีต
✔ Influenza A (H3N2) – มีการเปลี่ยนแปลงสูงและเป็นสาเหตุของการระบาดหลายครั้ง
✔ Influenza B (Victoria Lineage) – พบได้ในผู้ป่วยทั่วไป และสามารถแพร่กระจายได้อย่างต่อเนื่อง
✔ Influenza B (Yamagata Lineage) – พบการระบาดในบางภูมิภาคและบางช่วงปี
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ในปัจจุบันถูกออกแบบให้สามารถป้องกัน 3-4 สายพันธุ์ (Trivalent/Quadrivalent Vaccine) ที่คาดว่าจะระบาดในแต่ละปี
4. ภูมิคุ้มกันจากวัคซีนลดลงตามเวลา! ทำไมต้องฉีดซ้ำทุกปี?
จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่า ระดับภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะลดลงภายใน 6-12 เดือน ดังนั้น แม้ว่าคุณจะได้รับวัคซีนไปแล้วในปีที่ผ่านมา ก็อาจไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอสำหรับปีนี้
การฉีดวัคซีนเป็นประจำทุกปีช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่เพียงพอ และลดความรุนแรงของโรคหากติดเชื้อ
5. ใครบ้างที่ควรฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นพิเศษ?
แม้ว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะเหมาะกับทุกคน แต่กลุ่มเสี่ยงที่ควรฉีดเป็นพิเศษ ได้แก่:
✅ เด็กอายุ 6 เดือน – 5 ปี (เสี่ยงภาวะแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่)
✅ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป (ภูมิคุ้มกันลดลงตามอายุ)
✅ หญิงตั้งครรภ์ (ป้องกันทั้งแม่และทารกในครรภ์)
✅ บุคลากรทางการแพทย์ (เสี่ยงสัมผัสเชื้อจากผู้ป่วย)
✅ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ โรคปอด (เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง)
✅ ผู้ป่วยที่มีโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายกว่าคนปกติ)
✅ ผู้ที่มีคนมีโรคประจำตัวที่บ้าน และผู้สูงอายุอยู่ที่บ้าน (เสี่ยงต่อนำเชื้อนอกบ้าน เข้ามาแพร่ให้คนในบ้านที่มีความอ่อนแอ)
6. วัคซีนไข้หวัดใหญ่ปลอดภัยหรือไม่? มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
วัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นวัคซีนที่ได้รับการรับรองจากองค์กรทางการแพทย์ทั่วโลก เช่น WHO, CDC (ศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐฯ) และ กระทรวงสาธารณสุขของไทย โดยทั่วไปวัคซีนมีความปลอดภัยสูงและผลข้างเคียงมักไม่รุนแรง เช่น:
🔹 เจ็บบริเวณที่ฉีด
🔹 มีไข้ต่ำ ๆ หรือปวดเมื่อยเล็กน้อย
🔹 ในบางกรณีอาจเกิดอาการแพ้ แต่พบได้น้อยมาก

สรุป ทำไมต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี?
💉 ไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการกลายพันธุ์อยู่ตลอด ทำให้วัคซีนต้องอัปเดตทุกปี
💉 ภูมิคุ้มกันจากวัคซีนลดลงตามเวลา จำเป็นต้องฉีดกระตุ้น
💉 วัคซีนช่วยลดอาการรุนแรง ลดภาวะแทรกซ้อน และลดอัตราการเสียชีวิต
ปกป้องตัวเองและคนที่คุณรัก ด้วยการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี!