
หลังจากที่ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งยกฟ้อง นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ “ตู้ห่าว” พร้อมพวก 19 คน จากคดีที่เกี่ยวข้องกับขบวนการจีนเทาในไทย คำตัดสินนี้ได้สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะในแง่ของความบกพร่องในกระบวนการยุติธรรม
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองผู้เปิดโปงขบวนการมาเฟียจีนในไทย ออกมาเปิดเผย 8 ข้อผิดพลาดสำคัญที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ของคดีนี้ ซึ่งสะท้อนถึงช่องโหว่ในกระบวนการสืบสวนและดำเนินคดี
1. การวางแผนจับกุมที่ไร้ประสิทธิภาพ
การบุกตรวจค้นครั้งแรกที่สถานบันเทิงจินหลิง ขาดการเตรียมความพร้อมด้านกำลังพลและข้อมูล ส่งผลให้ผู้ต้องหาหลายรายสามารถหลบหนีได้โดยไม่มีการควบคุม นอกจากนี้ การตรวจค้นยังขาดความละเอียดรอบคอบ ปล่อยให้มีการเคลื่อนย้ายหลักฐาน และซ่อนของกลางได้ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะกลับเข้าตรวจสอบอีกครั้ง
2. การเก็บหลักฐานที่ล่าช้า และไม่เป็นระบบ
การเข้าตรวจค้นสถานที่เกี่ยวข้องมีความล่าช้าอย่างมีนัยสำคัญ เช่น อาคารวิบวับคาร์วอช ซึ่งถูกตรวจพบว่ามียาเสพติดเพิ่มเติม แต่การบันทึกเป็นหลักฐานกลับเกิดขึ้นช้ากว่าหลายวัน ช่วงเวลานี้อาจทำให้หลักฐานบางส่วนถูกทำลายหรือเคลื่อนย้ายออกไปแล้ว
3. ปล่อยตัวผู้ต้องหารายสำคัญ และคืนรถของกลาง
มีการปล่อยตัว หวัง เจิ้น หนาน หลานชายของตู้ห่าว ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุ รวมถึงรถของกลาง 4 คันถูกคืนไปโดยไม่มีการตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งอาจเป็นช่องทางให้มีการทำลายหลักฐานเพิ่มเติม
4. ปัญหาในกระบวนการสืบสวนและผู้ทำสำนวนคดี
ผู้ที่รับผิดชอบการทำสำนวนคดีกลับเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการคืนของกลางให้กับผู้ต้องหา ซึ่งสร้างข้อกังขาเกี่ยวกับความเป็นกลางของกระบวนการสอบสวน
5. การตัดต่อหลักฐานจากกล้องวงจรปิด
แม้ว่าจะมีกล้องวงจรปิดกว่า 100 ตัว ติดตั้งอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุ แต่กลับมีการนำส่งเพื่อตรวจสอบเพียงบางส่วน ช่วงเวลาสำคัญที่อาจบ่งชี้ความเชื่อมโยงของตู้ห่าวและเครือข่ายกลับไม่ถูกเปิดเผย
6. การออกหมายจับล่าช้าเกินไป
แม้ว่าตำรวจจะเข้าบุกค้นสถานที่ตั้งแต่ 26 ตุลาคม 2565 แต่กลับออกหมายจับตู้ห่าวในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 ส่งผลให้มีเวลามากพอสำหรับการเคลื่อนย้ายทรัพย์สินและจัดการหลักฐาน
7. ล่าช้าในการแจ้งข้อหาฟอกเงิน
แม้ว่าคดีนี้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ซึ่งเป็น ความผิดมูลฐานของการฟอกเงิน แต่ข้อหาฟอกเงินกลับถูกแจ้งล่าช้าเป็นเวลานาน ทำให้เกิดข้อกังขาว่าอาจมีความพยายามถ่ายโอนทรัพย์สินก่อนที่กฎหมายจะสามารถยึดคืนได้
8. หลักฐานสำคัญสูญหายระหว่างกระบวนการดำเนินคดี
เมื่อการดำเนินคดีมีความล่าช้า หลักฐานหลายชิ้นถูกทำลาย หรือหายไป ส่งผลให้ในท้ายที่สุด แม้จะมีการเข้าแทรกแซงจาก ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และอัยการสูงสุด ก็ไม่สามารถกู้คืนหลักฐานได้ครบถ้วน
คำถามที่ต้องการคำตอบ: ความล้มเหลวที่เกิดขึ้น เป็นเพียงข้อผิดพลาด หรือเป็นเรื่องของผลประโยชน์?
กรณีของ “ตู้ห่าว” ไม่ใช่เพียงแค่คดีอาชญากรรมทั่วไป แต่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของกระบวนการยุติธรรมไทย ตั้งแต่การสืบสวน ไปจนถึงการดำเนินคดี
การที่ศาลยกฟ้อง อาจเกิดจากพยานหลักฐานที่ไม่แน่นหนาเพียงพอ แต่คำถามที่สังคมตั้งข้อสงสัยคือ ทำไมหลักฐานถึงไม่เพียงพอ? ข้อผิดพลาดเหล่านี้เกิดขึ้นจากความบกพร่อง หรือมี “บางอย่าง” อยู่เบื้องหลัง?