
สื่อต่างประเทศรายงานเหตุการณ์สะเทือนใจของครูสาววัย 28 ปี จากประเทศจีน ซึ่งเป็นครูประจำโรงเรียนประถมศึกษา หลังจากมีอาการอ่อนเพลียและเบื่ออาหารเป็นเวลานาน ในตอนแรกเธอคิดว่าอาการเหล่านี้เป็นผลมาจากความเครียดและความเหนื่อยล้าจากการทำงาน แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการกลับรุนแรงขึ้นจนเกิดภาวะท้องเสีย อาเจียน และปวดท้องอย่างต่อเนื่อง จึงตัดสินใจเข้ารับการตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล
ผลตรวจชี้ชัด พบเนื้องอกในตับขนาด 5 ซม.
เมื่อแพทย์ทำการตรวจวินิจฉัย พบว่าเธอมีเนื้องอกในตับขนาด 5 เซนติเมตร พร้อมกับระดับค่าดัชนีอัลฟ่า-ฟีโตโปรตีน (AFP) สูงถึง 460 ng/L ซึ่งบ่งชี้ถึงความเสี่ยงของโรคมะเร็งตับ
จากการสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคของครูสาว พบว่ามีปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุของโรค ซึ่งเชื่อมโยงกับโจ๊กฟักทองที่เธอรับประทานเป็นประจำทุกวัน

พฤติกรรมเสี่ยง การบริโภคฟักทองที่เริ่มเน่าเสีย
ด้วยความที่งานของเธอค่อนข้างยุ่ง เธอมักจะซื้อฟักทองมาเก็บไว้จำนวนมาก แต่ด้วยสภาพความชื้นของห้องครัว ทำให้ฟักทองเน่าเสียได้ง่าย อย่างไรก็ตาม เธอเลือกที่จะตัดส่วนที่เน่าเสียออก แล้วนำส่วนที่เหลือมาปรุงอาหารแทน
เมื่อแพทย์ทราบถึงพฤติกรรมดังกล่าว จึงอธิบายว่า การบริโภคอาหารที่เริ่มเน่าเสียเป็นประจำ อาจทำให้ร่างกายได้รับสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ซึ่งเป็นสารพิษที่เกิดจากเชื้อรา และมีความเป็นพิษสูงต่อร่างกาย สารชนิดนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของโรคมะเร็งตับ หากมีการบริโภคเป็นระยะเวลานาน
นอกจากนี้ อาหารที่ขึ้นราและเน่าเสียยังอาจมีสารไซโตทอกซิน (Cytotoxin) ซึ่งเป็นสารพิษที่อาจทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสียเรื้อรัง หรืออาการอักเสบของลำไส้
พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดความเสี่ยงมะเร็งตับ
แพทย์แนะนำให้หลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจทำร้ายตับโดยไม่รู้ตัว ซึ่งรวมถึงพฤติกรรมต่อไปนี้
1. การรับประทานอาหารที่เหลือข้ามคืน
อาหารที่เหลือข้ามคืนอาจเพิ่มระดับไนไตรต์ ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นไนโตรซามีน (Nitrosamine) สารก่อมะเร็งที่สามารถกระตุ้นการเกิดมะเร็งตับ มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งโพรงจมูกได้
แม้ว่าการรับประทานอาหารข้ามคืนในปริมาณน้อยอาจไม่เป็นอันตรายทันที แต่หากรับประทานเป็นประจำโดยไม่ได้อุ่นอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดการสะสมของสารพิษที่มองไม่เห็น เช่น แบคทีเรียและสารตกค้างที่เกิดจากกระบวนการเก็บรักษาที่ไม่ถูกต้อง
คำแนะนำทานอาหารเหลือ
- อุ่นอาหารให้อุณหภูมิสูงกว่า 75°C อย่างน้อย 5 นาที
- หลีกเลี่ยงการเก็บอาหารที่เหลือไว้นานเกิน 2 วัน
- อาหารประเภทผักใบเขียว อาหารทะเล และสลัด ไม่ควรเก็บไว้ข้ามคืน

2. การใช้ตะเกียบและหม้อเก่าที่ไม่ได้เปลี่ยนเป็นเวลานาน
อุปกรณ์ในครัวที่ไม่ได้เปลี่ยนเป็นเวลานาน อาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา โดยเฉพาะตะเกียบไม้ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ชื้น ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อราที่สามารถก่อให้เกิดโรคได้
คำแนะนำการเลือกเครื่องครัว
- เปลี่ยนตะเกียบไม้ทุก 3-6 เดือน
- ตรวจสอบอุปกรณ์ครัวที่มีสารกันติด หากเริ่มลอกหรือเปลี่ยนสี ควรเปลี่ยนใหม่ทันที
- หลีกเลี่ยงการใช้หม้อและกระทะที่มีการเสื่อมสภาพ เพราะอาจทำให้อาหารปนเปื้อนสารโลหะหนัก
3. หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะพลาสติกราคาถูกคุณภาพต่ำ
ภาชนะพลาสติกบางประเภทอาจปล่อยสารเคมีที่เป็นอันตรายเมื่อโดนความร้อน โดยเฉพาะฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งหากได้รับเข้าสู่ร่างกายเป็นเวลานาน อาจส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร และในกรณีร้ายแรงอาจกระตุ้นการเกิดโรคมะเร็ง
คำแนะนำการเลือกภาชนะ
- เลือกใช้ภาชนะพลาสติกที่ปลอดภัยและผ่านมาตรฐาน เช่น BPA-Free
- หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะพลาสติกราคาถูกที่ไม่มีเครื่องหมายรับรองความปลอดภัย
- ไม่ควรนำพลาสติกที่ไม่ทนความร้อนเข้าไมโครเวฟ
สรุป
กรณีของครูสาววัย 28 ปีเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมการบริโภคในชีวิตประจำวันอาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว โดยเฉพาะการรับประทานอาหารที่เน่าเสียหรือปนเปื้อนสารพิษโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้น การเลือกรับประทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ และการดูแลอุปกรณ์ครัวให้ถูกสุขอนามัย ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายแรง โดยเฉพาะมะเร็งตับ ซึ่งมักไม่แสดงอาการจนกว่าจะเข้าสู่ระยะที่รุนแรงแล้ว